เทคโนโลยีการจดจำภาพใบหน้า (Facial Recognition Technology) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับระบุตัวตนของบุคคลจากภาพใบหน้า โดยใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่องมือวิเคราะห์ภาพและปัญญาประดิษฐ์ (Machine Learning and Artificial Intelligence) เพื่อศึกษาและรู้จำลักษณะทางกายภาพของใบหน้าของบุคคล เช่น ระยะห่างระหว่างตา ลักษณะริ้วรอยบนใบหน้า และคุณสมบัติอื่นๆ
หลักการทำงานของเทคโนโลยีจดจำภาพใบหน้า
วิธีการทำงานของเทคโนโลยีจดจำภาพใบหน้ามีขั้นตอนการทำงานอย่างน้อย 3 ขั้นตอน ได้แก่
- การจดจำและวิเคราะห์ภาพใบหน้า : คือการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ลักษณะทางกายภาพของใบหน้า โดยการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อจัดการข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลในภาพ
- การสร้างและเรียนรู้โมเดล : คือการสร้างโมเดลที่สามารถเรียนรู้และจดจำลักษณะทางกายภาพของใบหน้าของบุคคลได้ โดยการนำข้อมูลที่เก็บได้จากขั้นตอนแรกมาใช้ในการสร้างโมเดล เพื่อให้โมเดลมีความแม่นยำสูงในการระบุตัวตนของบุคคลจากภาพใบหน้า
- การส่งค่าฝั่งเครื่องรับ : คือการส่งข้อมูลจากเครื่องที่ใช้ในการจดจำภาพใบหน้า (Facial Recognition Technology) ไปยังเครื่องรับ เพื่อให้เครื่องรับทำการตรวจสอบและระบุตัวตนของบุคคลในภาพใบหน้า
เทคโนโลยีการจดจำภาพใบหน้ามีการนำไปใช้งานในหลายสาขาอุตสาหกรรมและหน่วยงานภาครัฐ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้เพื่อเปรียบเทียบภาพใบหน้าผู้ต้องหา, การตรวจสอบเข้าออกของพนักงานในองค์กร, การระบุตัวตนของผู้ใช้ในระบบการเข้าถึงข้อมูลและอื่นๆ โดยเทคโนโลยีนี้มีความแม่นยำสูงในการระบุตัวตนของบุคคลในภาพใบหน้า เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีการระบุตัวตนอื่นๆ เช่น การใช้รหัสผ่าน หรือการใช้บัตรประจำตัวของบุคคล
บริษัท Hikvision เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกล้องวงจรปิด รวมถึงเทคโนโลยีการจดจำภาพใบหน้า ที่มีความแม่นยำและความปลอดภัยสูง และได้รับการนำไปใช้งานในหลายประเทศทั่วโลก
การนำเทคโนโลยีการจดจำภาพใบหน้าไปใช้งาน
การจดจำภาพใบหน้าสามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ดังต่อไปนี้
- ระบบควบคุมการเข้าออก (Access Control System) : สามารถใช้ระบบจดจำภาพใบหน้าเพื่อควบคุมการเข้า-ออกจากพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องใช้บัตรและรหัสผ่าน
- ระบบค้นหาผู้ต้องหา (Facial Recognition Search) : สามารถค้นหาผู้ต้องหาหรือคนร้ายที่มีบันทึกภาพใบหน้าในฐานข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
- การตรวจสอบและตรวจสอบเอกสาร (Identity Verification) : สามารถใช้เทคโนโลยีการจดจำภาพใบหน้าเพื่อตรวจสอบและตรวจสอบเอกสารต่างๆ เช่น หนังสือเดินทาง บัตรประชาชน เป็นต้น
- ระบบการตรวจสอบการเข้าใช้บริการ (Authentication) : สามารถใช้เทคโนโลยีการจดจำภาพใบหน้าเพื่อตรวจสอบและยืนยันตัวตนของผู้ใช้งานในระบบต่างๆ เช่น การเข้าสู่ระบบเครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อป้องกันการปลอมแปลงบัญชีผู้ใช้งาน หรือการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาติ
เปรียบเทียบ ข้อดี-ข้อเสีย ของเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า
เทคโนโลยีการจดจำใบหน้ามีข้อดีและข้อเสียต่างๆ ดังนี้:
ข้อดี : ✔
- ความสะดวกสบาย : เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าช่วยลดความซับซ้อนในการรับรู้ตัวบุคคลและเปิดเผยตัวตนโดยไม่ต้องใช้การกรอกข้อมูลเพิ่มเติม เช่น รหัสผ่าน หรือบัตรประชาชน ทำให้มีความสะดวกสบายและเร็วขึ้นในการเข้าถึงระบบหรือบริการต่างๆ เช่น การเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ การจองตั๋วเครื่องบิน หรือการเข้าถึงสถานที่ต่างๆ เป็นต้น
- ความปลอดภัย : เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าสามารถช่วยเพิ่มระดับความปลอดภัยในการรับรู้ตัวบุคคล เนื่องจากแต่ละบุคคลมีลักษณะใบหน้าที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ยากต่อการปลอมแปลงตัวตนหรือการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลอื่นๆ
- การตรวจสอบและการติดตาม : เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าสามารถใช้ในการตรวจสอบและติดตามบุคคลที่ต้องการอย่างแม่นยำ ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในงานรักษาความปลอดภัย เช่น การตรวจสอบผู้เข้าเยี่ยมชมสถานที่ การจับกุมผู้ต้องหา หรือการควบคุมการเข้าถึงในพื้นที่ที่จำกัด
ข้อเสีย : ❌
- ความเป็นส่วนตัว : เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าอาจส่งผลต่อความเป็นส่วนตัวของบุคคล เนื่องจากข้อมูลใบหน้าอาจถูกเก็บรวบรวมและนำไปใช้ในวัตถุประสงค์ที่ไม่เหมาะสม อาจเกิดความกังวลเกี่ยวกับการละเมิดความเป็นส่วนตัวหรือการใช้ข้อมูลอย่างไม่ถูกต้อง
- ความคลาดเคลื่อน : เทคโนโลยีการจดจำใบหน้ายังมีความคลาดเคลื่อนในการรับรู้ตัวบุคคลบางครั้ง ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่สะท้อนกับตัวบุคคลบางราย โดยเฉพาะในเงาหรือแสงน้อย หรือในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงทางภาพรวดเร็ว เช่น การเปลี่ยนรูปทรงผม การแต่งหน้า เป็นต้น
- ปัญหาด้านความสมดุล : การใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าอาจเกิดปัญหาในกรณีที่มีการแปลงความหมายของข้อมูลใบหน้า หรือในกรณีที่มีความสมดุลทางการแสดงออกระหว่างกลุ่มที่เห็นและไม่เห็นด้วยตา เช่น การระบุเพศ หรือการระบุสีผิวหน้า ทำให้อาจเกิดความไม่เท่าเทียมกันหรือไม่ยุติธรรมได้
การใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าควรพิจารณาด้านข้อดีและข้อเสียเหล่านี้เพื่อให้เหมาะสมกับการประยุกต์ใช้และเป็นประโยชน์ในทุกกรณีตามความต้องการของผู้ใช้งาน
บทความที่เกี่ยวข้อง
- กล้องวงจรปิดแบบไหนเหมาะกับธุรกิจคุณ?
- ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
- กล้อง AI จับภาพคนร้ายแจ้งเตือนทันทีที่มือถือ!
- 4 เทคนิคการวางระบบกันขโมยให้อยู่หมัด
และจะดีกว่าไหม หากมีคนที่พร้อมเข้าพื้นที่เสี่ยงทันที! เมื่อระบบกล้องวงจรปิดจับภาพใบหน้าคนร้ายได้?
ระบบสัญญาณเตือนภัยอิเล็กทรอนิกส์ (ESS) เป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน และมีความปลอดภัยสูงสุดเป็นการผสมผสานระหว่าง “ระบบสัญญาณเตือนภัยอิเล็กทรอนิกส์ และเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังเหตุตลอด 24 ชั่วโมง” เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินหรือสัญญาณแจ้งเตือนจากระบบ ทีมเจ้าหน้าที่จะทำหน้าที่เข้ายับยั้งเหตุเบื้องต้น ณ สถานที่เกิดเหตุ พร้อมประสานงานไปยังเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่เกี่ยวข้อง อาทิ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ดับเพลิง หรือรถฉุกเฉิน พร้อมแจ้งให้ผู้ดูแลรับทราบเหตุทันที
“ปลอดภัยกว่าเพราะ ผู้เช่าระบบ ESS ไม่ต้องเข้าพื้นที่เสี่ยงด้วยตัวเอง”
ขั้นตอนการทำงานของระบบ ESS
*ฟรีอุปกรณ์เซ็นเซอร์ทุกจุดและศูนย์ควบคุม 24 ชม.
1. แจ้งเหตุ : เมื่อเกิดเหตุจะมีสัญญาณแจ้งเตือนมาที่ศูนย์ควบคุม(GC) และที่มือถือลูกค้า ศูนย์จะทำการโทรแจ้งลูกค้าทันทีเพื่อยืนยันการเกิดเหตุ
2. ตรวจสอบเหตุ : GC ประสานหน่วยเคลื่อนที่เร็ว(SO)ในพื้นที่ ที่ใกล้ที่สุดเข้าตรวจสอบ
3. ระงับเหตุ : SO เข้าพื้นที่เสี่ยงด้วยความรวดเร็วและรัดกุมเพื่อระงับเหตุเบื้องต้น
4. รายงานเหตุ : แจ้งเหตุกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเข้าจับกุม สอบสวน และแจ้งสรุปเหตุการณ์ให้ลูกค้าทราบทั้งหมด
========================
บทความที่เกี่ยวข้อง
- กล้องวงจรปิดแบบไหนเหมาะกับธุรกิจคุณ?
- ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
- กล้อง AI จับภาพคนร้ายแจ้งเตือนทันทีที่มือถือ!
- 4 เทคนิคการวางระบบกันขโมยให้อยู่หมัด
ระบบ ESS จะทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้ท่านตลอด 24 ชม. โดยเจ้าหน้าที่ศูนย์ควบคุม(GC) และ หน่วยเคลื่อนที่เร็ว(SO)
ช่วยให้ท่านคลายกังวลในชีวิตอันมีค่าและทรัพย์สิน พร้อมกับได้รับความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย
SKT SECURITY เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านระบบรักษาความปลอดภัยและกล้องวงจรปิด
ในประเทศใต้หวัน, ประเทศจีน และประเทศไทย
ข้อมูลเพิ่มเติม >> www.localhost/fix